วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไม่รู้ว่านี้คือความสุขรึเปล่า-แต่ก็เปงทางที่เราเลือกเดินอะจะพยายามแร้วกัล
ส่วนที่เหลือจากวันแรกที่ได้รู้จักกับพี่ก้อชิวิตก็เริ่มจะมีความสุขขึ้นจากที่เคยร้องไห้ทุกวันี่ก้อก็ทำให้ชิวิตมีความหวังขึ้นมาอีกเริ่มแรกต้องเล่าก่อนว่าพี่ก้อเปงแฟนเก่าเพื่อนที่สนิทและไว้จัยเรามากพอถึงสงกาน13/04/09ก็ได้ไปเล่นสงกานที่ถนนสงกานแร้วก็เจอเพื่อนแตนซึ้งเปงแฟนเก่าพี่ก้อ

แร้วแตนก็พาเดินไปหาพี่ก้อเพราะบ้านพี่ก้ออยู่ถนนสงกานพอตี้กับพี่ก้อเจอกัลก็ตกใจเพราะแตนไม่รู้ว่า2คนนี้รู้จักกัลก็ทำตัวปกติคือก็ทาแป้งจับแก้มกัลธรรมดา
พอตอนกลางคืนพี่ก้อก็โทหาตี้ว่ามาด้วยกัลได้งัย
ตี้ก็บอกไปว่ามันเปงเรื่องบังเอิญ สักพักพี่ก้อชวนไปเที่ยวตี้บอกม่ไปทั้งๆที่พี่ก้อจะมารับ
และความสัมพันก็เริ่มเกิดขึ้นเพราะวันที่14ตี้ไปเล่นสงกานพี่ก้อเหงตี้ก็เดินเอาเหล้ามาให้บนรถแต่ตี้ไม่กินตี้เอาให้ผึ้งที่เปงพี่กินพี่ก้อก็ชวนไปเที่ยวแร้วก็บอกว่าค่อยคุยกัล
ตอนดึกๆพี่ก้อโทมาอีกบอกจะมารับไปเที่ยวแต่ตี้ก้อไม่ไปวันสุดท้ายของการเล่นสงกานประมาน4ทุ่มตี้ลงจากรถแร้วไปหาพี่ก้อที่เต้นแร้วก็ไปคุยตอนนั้พี่ก้อยุ่งอยุแร้วก้อเอามือมาจับพุงจับก้น
แร้วก้อผ่านไป วันที่17เรานัดไปกินไอติมด้วยกัลที่ซีเอ็ดกาฬสินธุ์ เราก็นั้งคุยกัลไปทุกเรื่องเพื่อที่จะได้รู้จักกัลมากขึ้น
ตอนกลางคืนพี่ก้อโทหาแร้วบอกว่าถ้าเข้ามาบอกพี่นะแร้วไปดูหนังกัล
มาวันที่19ตี้บอกพี่ก้อว่าจะเข้าไปกาฬสินธุ์พี่ก้อพี่ก้อชวนไปดูหนังเรื่องโนวิง(เดี่ยวมาขียนต่อนะ)
วันที่12/10/09พี่ก้อจะให้ตี้ทำยังงัยทำตัวไม่ถูกแร้วเค้าไม่ได้จิกนะแค่เค้าคิดถึงพี่มากรู้มัยตี้รู้ว่าพี่ไม่ชอบขอ
โทดนะ

อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ศาสตร์แห่งรัก
พบกับ 12 วิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณได้พบคู่ที่เหมาะกับตัวเองที่สุดโดย เมแกน เกรสเนอร์
ส่วนที่เหลือต่อไปนี้คือ 12 วิธีที่พิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพบคู่รักที่เหมาะ เจาะที่สุดสำหรับคุณ (ใช่แล้ว นักวิชาการได้รับการว่าจ้างให้ทำการวิจัยศึกษาเรื่องความดึงดูดใจระหว่างคน สองคน หรือที่เราเรียกกันว่าความรัก) การค้นพบ นี้ลบล้างความเชื่อแบบนิยายรักหวานชื่นที่เคยมีมา ตั้งแต่เรื่องแรงดึงดูดของคนที่ตรงข้ามกัน หรือที่ว่ายิ่งห่างก็ยิ่งรัก ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ความเชื่ออื่นๆที่น่าจะเป็นจริงด้วยคู่กันย่อมคล้ายคลึงมอง หาคนที่คล้ายคุณมากที่สุด เพราะเป็นไปได้ว่าเขาหรือเธอก็กำลังมองหาคุณเหมือนกัน เรานิยมคู่ที่มีภูมิหลังคล้ายๆกัน มีความสนใจคล้ายกัน มีค่านิยมความเชื่อคล้ายกัน เพราะสิ่งนั้นจะพิสูจน์มาตรฐานของตัวเราด้วย ยิ่งกว่านั้น ธรรมชาติจะดึงเราไปหาคู่ที่หน้าตาคล้ายเรา เซอร์ฟรานซิส กัลทัน นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญสนใจปรากฏการณ์นี้ตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว และนับแต่นั้นมา มีผลการวิจัยมากมายยืนยันเรื่องความคล้ายกันระหว่างคู่รักหลายคู่ใกล้ตัวใกล้ใจลืม เรื่องรักทางไกลไปได้เลย นี่คือกฎเหล็กอีกข้อ วางตัวให้อยู่ใกล้บุคคลที่เป็นเป้าหมายรักของเราเข้าไว้ ไม่ว่าเป็นโต๊ะทำงานที่ใกล้กัน หรือบ้านซอยถัดไปก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้พบกันอยู่เรื่อยๆ นี่จะช่วยได้มาก เพราะยิ่งเราเจอเขาบ่อยขึ้นเท่าไร เราก็จะชอบเขามากขึ้นเท่านั้น (นอกเสียจากว่าเราจะไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรก ในกรณีนี้ผลอาจเป็นตรงกันข้าม) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเรามักจะลงเอยกับเพื่อนร่วมงานหรือหนุ่มสาวข้างบ้านเผยใจให้รู้แจ้งเลิก ทำตัวเข้มแข็งและเงียบเฉยไปเลย เพราะ ดร. อาเทอร์ แอรอน นักจิตวิทยาสังคม บอกว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์นั้นคือการแค่ได้รู้ว่ามีใครบางคนกำลังสนใจคุณอยู่ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกดีต่อตัวเองจนเผื่อแผ่ออกมาเป็นความรู้สึกดีๆต่ออีก ฝ่ายด้วย เราจะให้ความอบอุ่นต่อคนที่ชื่นชมเรา ดังนั้น การที่รักใครแต่กลับเก็บงำความรู้สึกไว้อย่างนิยายน้ำเน่าจึงไม่ค่อยได้ผลใน ชีวิตจริงดวงตามันฟ้องอย่าง ไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่นักรักมักจะพูดถูกก็คือ สิ่งที่เราเรียกว่า "รักแรกพบ" อาจมีอยู่จริง กล่าวคือ ถ้าคู่ไหนมองตากันนานเท่าไรเวลาพบกัน คู่นั้นก็จะยิ่งชอบคนที่ตัวเองมองมากขึ้น ถ้าคุณมีรูม่านตาที่เปิดกว้างก็ยิ่งเป็นข้อดี เพราะนั่นคืออวัยวะที่ดึงดูดใจมากที่สุด ผลวิจัยโดยเอกคาร์ด เฮสส์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า เมื่อให้กลุ่มทดสอบดูรูปเพศตรงข้ามสองภาพซึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน ทุกอย่างยกเว้นขนาดม่านตา รูปคนที่มีรูม่านตาใหญ่กว่าหรือพูดง่ายๆว่าตาโตได้รับเลือกให้เป็นรูปที่มี เสน่ห์มากกว่าถึงสองเท่า แม้กลุ่มทดสอบจะดูเรื่องขนาดม่านตาไม่ออกเลย รูม่านตาที่ขยายกว้างคือสัญญาณของความตื่นเต้นเร้าใจที่รุนแรง ภาษากายไม่ รู้จะใช้มายาเล่มเกวียนไหนแล้วใช่ไหม ลองกลับมาดูที่ภาษากายดีกว่า นี่คือรูปแบบของการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด แต่เข้าใจกันได้ทั้งสองเพศ ภาษากายที่เห็นได้ชัดที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ แค่จ้องตาอีกฝ่ายและยิ้ม จากนั้นก็จะมีท่าทาง "แต่งองค์ทรงเครื่อง" อย่างเช่น เล่นผมตัวเอง เป็นต้นตามคำบอกเล่าของอัลลัน พีซ ผู้เขียนหนังสือ ยอดคู่มือภาษากาย (The Definitive Guide to Body Language) กล่าวว่า สิ่งที่เร้าอารมณ์ผู้ชายได้ดีก็คือท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามของผู้หญิง ซึ่งรวมถึงการเผยให้เห็นจุดอ่อนไหวในร่างกาย เช่น ข้อมือหรือช่วงคอ รวมทั้งท่านั่งไขว้ขา สังเกตได้จากท่วงท่าเด็ดของเจ้าหญิงไดอานาผู้ทรงเสน่ห์ก็คือท่านั่งไขว้ขา และสอดเท้าของขาบนไว้ใต้น่องล่าง) ส่วน ผู้ชายก็จะทำให้ตัวเองดูเด่นขึ้นจากการนั่งแผ่กินที่และอ้าขาทั้งสองออก กว้างเผยให้เห็น "หว่างขา" โดยที่นิ้วหัวแม่มือสอดไว้ในกระเป๋า และนิ้วชี้ชี้ไปที่อวัยวะเพศของตัวเอง (ท่านี้ใช้ได้สำหรับไมเคิล แจ็กสันอยู่พักใหญ่)แต่งตัวสวยสะลืม ที่แม่เคยสอนไว้เรื่องความงามจากภายในได้เลย เกือบทุกคนบนโลกจะมองว่าคนที่ดูดี ฉลาด เซ็กซี จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ดูธรรมดาๆตามมุมมองของนักทฤษฎีวิวัฒนาการ สังคม เราให้คุณค่าต่อคุณลักษณะบางอย่างที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสืบทอดเผ่าพันธุ์ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมชายถึงชอบหญิงที่อายุน้อยกว่า มีผมยาวเป็นเงางาม และมีขนาดสะโพกใหญ่กว่าเอวประมาณหนึ่งในสาม (ทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความเยาว์วัย สุขภาพ และความสมบูรณ์พร้อมของร่างกายที่จะมีลูก) ส่วนหญิงจะชอบผู้ชายที่สูงกว่าอายุมากกว่า เพราะพวกเขามีแนวโน้มจะมีทุกอย่างพร้อมที่เอื้อต่อการมีลูก เลือกคำพูดความ แตกต่างทางเพศที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนถึงการใช้คำในการโฆษณาหาคู่ด้วย ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าโฆษณาหาคู่ของผู้หญิงจะเน้นเรื่องรูปโฉม แต่ของผู้ชายจะเน้นเรื่องทรัพย์ และหญิงที่อายุมากหน่อยก็ยอมรับว่าได้รับการตอบรับน้อยกว่า ขณะชายที่อายุมากกลับตรงกันข้ามแต่คุณผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆและชายผู้ไร้ สมบัติทั้งหลายอย่างเพิ่งท้อใจ เพราะยังมีคำคำหนึ่งที่เหมาะจะใส่ลงไปในโฆษณาหาคู่ทุกรูปแบบคือคำว่า "อบอุ่น" คนที่ได้รับการกล่าวถึงว่าอบอุ่นนั้น เชื่อกันว่าเป็นคนที่มีความสุข เข้าสังคมได้ดี ฉลาด และเป็นที่ชื่นชอบ เลี่ยงการเปรียบเทียบถ้า ถืองานวิจัยของซารา กูตีเรส และดักลาส เคนริกจากภาควิชาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนาเป็นเกณฑ์ ก็กล่าวได้ว่าเราชอบเอาคู่เราไปเปรียบกับมาตรฐานที่ค่อนข้างสูง นักวิจัยขอให้ผู้ชายให้คะแนนรูปโฉมของคู่นัดตัวเองหลังดูภาพหน้ากลางของ นิตยสารเพลย์บอย หรือดูรายการโทรทัศน์ที่มีดาราสาวสวย เดาได้ไม่ยากว่าคะแนนของบรรดาคู่นัดหลังดูภาพและรายการจะต่ำกว่าเดิมเรา เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าผลกระทบจากสิ่งตรงกันข้าม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อการรับรู้ในความแตกต่างที่สัมพันธ์กันจะถูกบิดเบือนไปตาม ลำดับของสิ่งที่เราพบเห็น อย่างเช่น ถ้าคุณมองวัตถุสีทึบชิ้นหนึ่งหลังมองวัตถุสีสว่าง วัตถุสีทึบก็จะดูทึบกว่าเมื่อมองครั้งแรกโดยไม่เปรียบเทียบกับสิ่งอื่นรักลิงโลดใน ฉากสุดท้ายของหนังปี 2537 เรื่อง Speed แซนดรา บูลล็อกบอกเคียนู รีฟส์ว่า "ฉันได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐาน มาจากประสบการณ์น่าตื่นเต้นที่มีร่วมกันนั้นจะไปไม่รอด" ซึ่งเขาก็ตอบว่า "งั้นเราคงต้องเริ่มจากเซ็กซ์เสียแล้ว" แต่ความจริงนั้นก้ำกึ่งระหว่างทั้งสองประโยค เพราะประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจะนำไปสู่ความดึงดูดทางเพศ ยิ่งถูกปลุกเร้าจากอะไรก็ตาม ตั้งแต่จากความกลัวไปถึงความสุขที่เรามีร่วมกันกับคนที่เราคาดหมายไว้ เราก็รู้สึกว่าเขายิ่งน่าดึงดูดใจมากขึ้น จากผลการศึกษาของซินดี เมสทันและเพนนี ฟลอริก นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเมื่อขอให้กลุ่มทดสอบให้คะแนนเพศตรงข้าม ก่อนและหลังการเล่นรถไฟเหาะด้วยกัน ผลกระทบจากสิ่งที่เราเรียกว่าการถ่ายโอนความตื่นเต้นนี้คือ ไม่ว่าหัวใจเราจะลิงโลดโดดเต้นจากเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราโยงกับคนที่เราร่วมประสบการณ์ด้วย เราก็จะรู้สึกติดใจเขาหรือเธอคนนั้นชื่อก็บอกอะไรได้อัล เบิร์ต เมราเบียนจากภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ค้นพบว่าชื่อบางชื่อสามารถเชื่อมโยงกับคุณลักษณะในทางลบและถูกมองว่าเป็น ชื่อที่มีศีลธรรมน้อยกว่า เป็นที่ชื่นชอบน้อยกว่า และประสบความสำเร็จน้อยกว่า และถ้าคุณมีชื่อแรกเหมือนคนมีชื่อเสียง คนอาจมองว่าคุณมีบางอย่างเหมือนคนเหล่านั้น นับเป็นข่าวร้ายของคนที่ชื่อ อะดอล์ฟ หรือโมนิกาฤทธิ์เบียร์อ็อก เดน แนช นักกวี กล่าวว่า "น้ำตาลนั้นหวานกล่อมลิ้น แต่สุรากินแล้วใจแตกซ่าน" ผลวิจัยแสดงว่าคนโสดที่ไปหาคู่ในผับบาร์จะจู้จี้น้อยลงเมื่อใกล้เวลาบาร์ปิด การค้นพบนี้เรียกกันว่า "ฤทธิ์เบียร์พรางตา"ผู้ค้นพบนี้คือศาสตราจารย์ เจมี เพนนีเบเคอร์แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส ซึ่งตัด- สินใจจะทดสอบเนื้อหาของเพลงลูกทุ่งที่ร้องว่า "ผู้หญิงสวยขึ้นเมื่อบาร์ใกล้ปิด" เขาขอให้ลูกค้าในบาร์ให้คะแนนเพศตรงข้าม ที่เป็นเป้าหมายสามครั้งในหนึ่งคืน (คือช่วง 21.00 น. 22.30 น. และเที่ยงคืน) แน่นอน ทั้งสองเพศดูดีที่สุดตอนเที่ยงคืน ไม่ได้หมายความว่าคุณเมาจนตาลาย แต่ยิ่งเวลาในการหาคู่เหลือน้อยลงเท่าไร ใครก็ตามที่อยู่รอบๆตัวก็จะเริ่มดูดีขึ้นมีความสุขร่วมกันยิ่ง เรารู้สึกดีเท่าไร เราก็จะชอบคนที่เราอยู่ด้วยมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าคู่นัดของคุณอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่หัวค่ำก็ต้องช่วยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ไม่งั้นคุณอาจไม่มีหวัง ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรับผิดชอบกับทุกความสุขหรือทุกข์ของเขา แต่คุณควรจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งจะช่วย ห่อหุ้มคุณด้วยกลิ่นไอดีๆจากสถานที่นั้น นี่คือเหตุผลที่คุณควรพิถีพิถันในการเลือกสถานที่ซึ่งจะพาคู่นัดไป อย่าพาไปในที่เคร่งเครียด อย่างคลินิกฟัน หรือแดนสงคราม เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน ซึ่งจะพานติดตัวคุณตลอดไปในสายตาของอีกฝ่าย ...คราวนี้ก็ระดมทุกกลเม็ดถ้า คุณอยากจะได้แอ้มก็ต้องพาคู่นัดไปเล่นกระโดดบันจี แน่ใจได้เลยว่าต้องเร้าใจสุดๆ แล้วไปดูหนังที่นักแสดงหน้าตาน่าเกลียด ก่อนจะจบค่ำคืนที่บาร์แสงสลัว แม้ฤทธิ์เบียร์พรางตาจะยังไม่ทำงาน แต่ความมืดก็น่าจะช่วยขยายรูม่านตาและเพิ่มโอกาสให้คุณได้

อ่านต่อ

ผู้ชายไม่ยอมโต

ผู้ชายที่ไม่ยอมโต สังเกตง่าย ๆ เขา เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน นุ่มนวล มีความประนีประนอมสูง เป็นคนรักครอบครัว รักพ่อแม่พี่น้อง เป็นคนที่เชื่อฟังพ่อแม่และ การตัดสินใจไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ มักจะมีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญตัดสินใจให้เสมอมา เป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองน้อย ขาดความเป็นผู้นำ เพราะอยู่บ้านพึ่งพ่อแม่ ออกสังคมพึ่งเพื่อนฝูง ถ้าแต่งงานก็พึ่งภรรยา แต่เป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู สนุกสนาน การมีเขาอยู่ข้างกายก็เหมือนมีเด็กซน ๆ คนหนึ่งอยู่เคียงข้าง ผู้ชายไม่ยอมโต อาจจะไม่ใช่ผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงหลาย ๆ คน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนอบอุ่น จริงใจ ไม่หลอกลวง หากคุณกำลังคบหาดูใจกับใครสักคน แล้วบังเอิญเขาเข้าข่ายเป็นผู้ชายไม่ยอมโต คุณก็ต้องทำใจและเตรียมใจ ถ้าแต่งงานกับเขา ก็เหมือนแต่งงานกับคนทั้งครอบครัวเขา พ่อแม่ของเขาก็ยังคงเข้ามาดูแลเขา ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าคู่อื่น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งปัญหาจริง ๆ อาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวฝ่ายชาย แต่อยู่ครอบครัวของฝ่ายชายมากกว่า วิธีแก้ไขก็ไม่ยาก นั่นคือ ไปตั้งรกราก สร้างงาน สร้างครอบครัวใหม่ ให้ไกลแสนไกลจากครอบครัวเดิมของเขา
ส่วนที่เหลือ ผู้ชายบ้างาน

ผู้ชายบ้างาน ส่วนใหญ่เป็นคนมีความทะเยอทะยานสูง รักความเจริญก้าวหน้า มีความเป็นผู้นำ มั่นใจในตัวเอง ไฟแรง รอบรู้ มักประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม มีอนาคตสดใส เป็นผู้ชายในอุดมคติของหญิงสาวเกือบทุกคน แต่ ผู้ชายบ้างาน วันทั้งวันทำแต่งาน ไม่เคยมีวันว่าง ไม่เคยมีวันหยุดยาว ไม่เคยมีวันที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว การแต่งงานของเขาอาจจะไม่ได้มาจากความรักล้วน ๆ แต่มาจากความเหมาะสม และเพื่อสถานะทางสังคม หากคุณกำลังคบหาดูใจกับใครสักคน แล้วบังเอิญเขาก็เข้าข่ายหรือเป็นผู้ชายบ้างาน คุณก็มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือ ทำใจและยอมรับ หรือไม่ก็ยอมรับและทำใจ เพราะการที่จะไปเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนใจ เปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือถ้าจะเลิกคบกัน แล้วปล่อยให้เขาหลุดมือไป ก็ถือว่าน่าเสียดาย เพราะจริง ๆ แล้วผู้ชายบ้างานก็มีข้อดีมิใช่น้อย ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว ส่วนใหญ่ เป็นคนน่าค้นหา มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สุขุม ลุ่มลึก พูดน้อย ใจเย็น เป็นมิตร ช่างคิด ช่างฝัน ช่างจินตนาการ ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว มักอยู่กับอดีตเก่า ๆ ที่ผ่านพ้นไปแล้วเป็นคนที่ไม่มีใจให้ปัจจุบัน ชอบคิดถึงแฟนเก่า เพื่อนเก่า ความรู้สึกเก่า ๆ หรือไม่ก็ใฝ่ฝันถึงผู้หญิงในอุดมคติหรือความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง

ผู้ชายที่มีโลกส่วนตัว

ชื่นชอบกิจกรรมที่ทำคนเดียว เช่น ท่องอินเตอร์เน็ต เขียนและอ่านอีเมล อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบา ๆ นอนดูหนังแผ่นเรื่องโปรดอยู่กับบ้าน อาการ ของโรค "มีโลกส่วนตัวสูง" หรือการมีรสนิยมส่วนตัวที่ไม่เหมือนใคร เช่น ชอบฟังเพลงเฉพาะกลุ่ม ซึ่งคนทั่วไปฟังยังไงก็ไม่เพราะ ชอบดูหนังนอกกระแสที่นักวิจารณ์ชื่นชมแต่คนดูหนังทั่วไปดูไม่รู้เรื่องหรือ การชอบอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว การที่ใครสักคนหนึ่งมีโลกส่วนตัวสูง อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเรื่องเลวร้าย แต่เป็นเรื่องที่น่าน้อยใจ น่าหงุดหงิด น่ารำคาญ มากกว่า แต่คุณจะรับได้หรือไม่ ก็ไม่รู้ ถ้าได้รู้ว่า ในโลกส่วนตัวของเขาไม่เคยมีคุณ

ผู้ชายสีม่วง

ผู้ชาย สีม่วง เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน และถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่เขาจะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยรสนิยมทางเพศนี้ให้ สังคมได้รับรู้ ผู้ชายสีม่วง ส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง เฉลียวฉลาด เชื่อมั่นในตัวเอง ทันสมัย มีหัวศิลปะ มีรสนิยม อ่อนไหว อ่อนโยน โรแมนติค พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน รักความสวยงาม ความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งยังเป็นคนรักษาสุขภาพ รักษาหุ่น ดูแลผิวพรรณ ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยรวม ๆ ถือว่าเป็นชายหนุ่มที่ดูดีมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นเทพบุตรในฝันของหญิงสาวหลาย ๆ คน ผู้ชายสีม่วง ส่วนใหญ่เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง เขามีโลกของเขา มีทางเดินของเขาเองแต่ฝ่ายผู้หญิงเองต่างหากที่ไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึง การณ์ เป็นฝ่ายที่ไปทึกทัก รักเขาข้างเดียว โดยที่เขาอาจจะไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ฝ่ายชายอาจจะคิดคบหล่อนในฐานะเพื่อนสาวแต่ฝ่ายหญิงตั้งความหวังไว้ที่สามีใน อนาคต ผู้ชายสีม่วงข้อดีมีมากมาย แต่ข้อเสียก็ยากเกินกว่าจะรับได้ นั่นคือ เขาไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัว

ผู้ชายไม่แต่งงาน

ผู้ชายไม่แต่งงาน หมายถึง ผู้ชายที่พร้อมทุกอย่างทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ตำแหน่งหน้าที่การงาน และฐานะการเงิน แต่ไม่คิดจะแต่งงาน ผู้ชายไม่แต่งงาน ส่วนใหญ่เป็นคนอารมณ์ดี มีความสุขกับชีวิต ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น รักบ้าน รักครอบครัว มนุษยสัมพันธ์ดี มีความเป็นมิตร มีความจริงใจ ไม่คิดเอาเปรียบใคร ไม่หลอกลวง ไม่โป้ปดมดเท็จกับใคร เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลาย ๆคน และเชื่อว่า ถ้าเขาคิดจะแต่งงาน เขาก็คงแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะได้มาพบเจอกับคุณ ผู้ชายที่ไม่แต่งงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาเหตุมาจาก อกหัก ผิดหวัง ซึ่งสาเหตุจริง ๆ ที่เขาไม่อยากแต่งงานนั้น น่าจะมาจากแนวคิดที่ว่า อยู่คนเดียวก็ได้ ผู้ชายไม่แต่งงาน มีข้อดีมากมาย สาธยายไม่หมด แต่ข้อเสียมีอยู่ข้อเดียวและเป็นข้อที่ผู้หญิง ส่วนใหญ่รับไม่ได้แน่นอน นั่นคือ "เขาไม่ยอมแต่งงาน"

อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

"ทำไมถึงรักเขา" คุณเคยถามตัวเองไหม ?แล้วคุณหาคำตอบให้ตัวเองได้ไหม ?ถ้าคุณตอบว่า "ได้ ที่ฉันรักเขาก็เพราะเขา perfect ออกปานนั้น"รู้ไว้ด้วยว่า คุณกำลังสร้างเงื่อนไขให้กับความรักของคุณ

ส่วนที่เหลือ การสร้างเงื่อนไขก็คือการสร้าง "ถ้า" ขึ้นมากำกับความรักของคุณเช่น ถ้าเขา perfect ฉันจะรักเขาถ้าเขาเรียนเก่งฉันจะรักเขาถ้าเขาเข้าใจฉันๆ จะรักเขาถ้าเขาน่ารักฉันจะรักเขา ฯลฯเช่นนี้แล้วความรักของคุณก็จะเต็มไปด้วยเงื่อนไข

อ่านต่อ

"ความหวัง" คือสิ่งที่เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต คนที่ "หมดหวัง" ในชีวิตนี้ไม่มีจุดมุ่งหมาย อะไรในการดำรงชีวิต ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยาก บางคนอาจจะฆ่าตัวตายไปเลยก็ได้
สำหรับพระอรหันต์ที่ "ไม่มีความหวัง" อะไรในชีวิตเหลืออีก เพราะจบกิจแล้ว ก็จะใช้ช่วงเวลที่เหลือของชีวิต ทำงาน ช่วยเหลือผู้อื่นจนกว่าจะดับขันธ์ และไม่สืบต่อชีวิตอีก
ขณะที่พระโพธิสัตว์ซึ่งยังมี "ความหวัง" ที่จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าต่อ เพื่อช่วยรื้นขนสัตว์ในสังสารวัฏฏ์ ก็จะยังมีชีวิตเกิดใหม่ต่อไป ตามพลังแห่ง "ความหวังในทางบวก" ที่ขับเคลื่อนชีวิตดังกล่าว
คนที่ "สิ้นหวัง" ในชีวิตนี้ หมดอาลัยตายอยาก แต่มีความ "คาดหวัง" ที่จะได้พบกับภาวะที่ดีกว่า หรือทุกข์น้อยกว่าชีวิตปัจจุบันจากความตาย พลังแห่ง "ความหวังในทางลบ" ก็จะขับเคลื่อนชีวิตของคนผู้นั้นสู่ความตาย (และหมุนวนอยู่ในวัฏ-สงสารสืบไปไม่มีที่จบที่สิ้นสุด ตามสัดส่วนความเข้มข้นของพลังแห่งความหวังในทางลบที่ขับเคลื่อนชีวิตนั้นๆ)
คนที่มี "ความหวัง" ว่าจะสามารถร่ำรวยจากการพนัน พลังแห่งความหวังก็จะขับเคลื่อนนำพาชีวิตคนผู้นั้นไปสู่การเป็นนักพนัน
คนที่มี "ความหวัง" ว่าจะสามารถร่ำรวยจากการคดโกงหรือการก่ออาชญากรรมต่างๆ พลังแห่งความหวังดังกล่าวก็จะ ขับเคลื่อนผลักดันชีวิตคนผู้นั้นไปสู่การเป็นโจรผู้ร้าย ฯลฯ
การมี "ความหวัง" ในทิศทางที่เหมาะสมถูกต้อง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญงอกงาม ซึ่งพุทธศาสนาเรียกว่ามี "สัมมาทิฏฐิ" หรือ "ความเห็นชอบ" อันเป็นมรรคองค์แรกที่ต้องนำมาก่อน ตามหลักสัมมาอาริยมรรค มีองค์ ๘ ของพุทธธรรม
การช่วยให้คนซึ่ง "หมดหวัง" กับชีวิตนี้ (แต่มี "ความหวัง" ที่จะได้พบกับสภาพที่ดีกว่าชีวิตปัจจุบันจากความตาย) เพื่อให้มีกำลังใจที่จะต่อสู่ฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ ในชีวิตสืบต่อไป โดยไม่คิดฆ่าตัวตาย ก็คือการกระตุ้นหรือปลุกเร้าให้คนผู้นั้นเกิด "ความหวัง" อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตต่อไปอย่างมีสัมมาทิฏฐิในระดับหนึ่ง
"ความหวัง" ดังกล่าวอาจจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้ ความหวังในทางตรงก็คือ การกระตุ้นให้เห็นถึงโอกาสที่คนผู้นั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลงพัฒนาชีวิตไปสู่สภาพที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
ส่วนความหวังในทางอ้อมหมายถึง การเตือนสติให้เห็นถึงสิ่งที่คนผู้นั้นอาจจะต้องสูญเสียไปจากความหมดอาลัยตายอยาก และไม่คิดต่อสู้กับชีวิตอีก เช่น ลูกๆ ที่ยังเล็กและไม่มีใครเลี้ยงดู จะต้องประสบกับความยากลำบากหากตนฆ่าตัวตายไปก่อน การมี "ความหวัง" ที่อยากเห็นลูกของตนมีชีวิตเติบโตต่อไป จนเกิดกำลังใจที่จะ ต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาของชีวิต ก็คือตัวอย่างของ "ความหวัง" ในทางอ้อมตามที่กล่าวถึงนี้
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละเหตุการณ์ จะมีทั้งแง่มุมที่เป็นคุณและเป็นโทษแฝงอยู่ ขึ้นกับกรอบการวิเคราะห์หรือมุมมองของแต่ละคน เหมือนนักโต้วาที ๒ ฝ่ายที่พูดถึงเรื่องเดียวกันจากคนละมุม อาทิ เรื่องน้ำท่วมกับภัยแล้ง ฝ่ายที่สนับสนุนว่าน้ำท่วมยังดีกว่าภัยแล้ง ก็จะสรรหา เหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนมุมมองของตนได้ มากมาย ขณะที่ฝ่ายคัดค้านซึ่งเห็นว่าภัยแล้ง ยังดีกว่าน้ำท่วม ก็จะสามารถสรรหาเหตุผล ต่างๆ จากอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของฝ่ายตนได้เช่นกัน เป็นต้น
ภายใต้กรอบการมองโลกและชีวิตชุดหนึ่ง เราอาจเห็นวิกฤตการณ์ที่กำลังเผชิญในชีวิตเรื่องนั้นๆ เป็นสิ่งเลวร้ายที่สร้างภาวะความบีบคั้นเป็นทุกข์ให้กับเรา จนอาจถึงกับคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีภาวะความบีบคั้นดังกล่าว
แต่เหตุการณ์อย่างเดียวกันภายใต้กรอบการมองโลกและชีวิตอีกชุดหนึ่ง เราอาจเห็นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเราก็ได้ เช่น เป็นบทเรียนสำคัญที่จะช่วยให้เรามีโอกาสเรียนรู้เพื่อพัฒนาชีวิตไปสู่ภาวะที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรือเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้หนี้วิบากกรรมเก่าให้หมดๆ ไป หรือเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำแบบทดสอบว่ามีวุฒิ-ภาวะพอที่จะสอบผ่านบทเรียนชีวิตนั้นๆ หรือไม่ ฯลฯ
การจะปรับเปลี่ยนกรอบการมองชีวิต เพื่อให้เห็นโอกาสในวิกฤติ จนสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้เช่นนี้ อาจจะต้องอาศัยการชี้แนะ การเห็นแบบอย่างจากชีวิตอื่นๆ หรือการเปรียบเทียบกับชีวิตผู้อื่น ฯลฯ ซึ่งเราสามารถจัดการให้เกิดโอกาสของการเรียนรู้ เพื่อปรับเปลี่ยนกรอบการมองชีวิตใหม่ได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น
๑. จัดให้มีกลุ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคคลที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน เมื่อมีโอกาสรับฟังปัญหาของเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายคนอื่นๆ (ซึ่งบางคนอาจมีปัญหา หนักหนายิ่งกว่าเรามากมายด้วยซ้ำ) กรอบการมองชีวิตก็อาจจะเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยมองว่าตัวเราเป็นบุคคลโชคร้ายที่สุดในโลก และหมดหวังที่จะดำรงชีวิตอยู่ ก็อาจเริ่มเห็นว่าอันที่จริงแล้ว ยังมีคนประสบปัญหามากกว่าเราอีกเยอะ และเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทำไมเราซึ่งประสบปัญหาน้อยกว่าจะสู้ชีวิตต่อไปไม่ได้
๒. ให้ความช่วยเหลือต่างๆ รวมทั้งการพูดคุยให้กำลังใจคนที่อยู่ในภาวะสิ้นหวัง จากความรู้สึกนึกคิดเดิมที่คนผู้นั้นเคยมองชีวิตอย่างหมดหวัง เพราะรู้สึกว่าต้องต่อสู้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่รู้จะพึ่งใคร การได้รับความช่วยเหลือ จากเพื่อนมนุษย์อื่นแม้ไม่มาก จะทำให้กรอบการมองชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิม โดยรู้สึกว่าตนเองไม่ถึงกับต้องต่อสู้กับชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในโลกนี้ ยังมีเพื่อนมนุษย์ที่มีน้ำใจช่วยเหลือเราได้ ถึงแม้ความช่วยเหลือดังกล่าวในขณะนี้อาจมี ไม่มาก แต่ในเมื่อมีคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือเราเช่นนี้แม้เพียง ๑ คน ก็ย่อมมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีคนอื่นๆ ซึ่งมีใจจะให้ความช่วยเหลือเราได้มากกว่านี้ในโอกาสต่อๆไป ชีวิตจึงยังมีความหวังอยู่
๓. การหาสื่อดีๆ ที่เหมาะสมกับภูมิหลังของบุคคลนั้นๆ แจกให้ อาทิ หนังสือ เทป หรือวีดิทัศน์ เป็นต้น ให้อ่าน ให้ดู หรือให้ฟัง เพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาชีวิต
๔. การพูดคุยให้คำปรึกษาแนะนำ รวมทั้งการรับฟังปัญหาของคนนั้นๆ อย่างตั้งใจ เมื่อคนผู้นั้นเกิดความรู้สึกนึกคิดใหม่ ว่า โลกนี้ยังมีคนสนใจปัญหาของเขา ห่วงกังวลเขา ความหวังที่จะมีชีวิตต่อไปก็จะเกิดขึ้น ฯลฯ
อาจจะยังมีวิธีการอื่นๆ อีก ภายใต้หลักการที่ช่วยปรับเปลี่ยนกรอบการมองชีวิตของคนที่กำลังหมดหวัง เพื่อให้มีกรอบการมองชีวิตใหม่ที่เห็นแง่มุมแห่งความหวังมากขึ้น อันเหมาะสมกับผู้คนในแต่ละวัฒนธรรม แต่ละวัย และแต่ละกาลเวลาสถานที่
คนที่ประสบเคราะห์กรรมจากกรณีคลื่นยักษ์สึนามิที่มีปัญหาสุขภาพจิต ท้อแท้ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ยังมีอยู่อีกจำนวนไม่น้อย ใครมีโอกาสที่จะสามารถช่วยให้กำลังใจเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหล่านั้นได้ อาจจะลองใช้หลักการ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นแนวทางในการให้กำลังใจคนเหล่านั้นเพื่อให้เกิด "ความหวัง" ที่จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนชีวิตของ คนผู้นั้นต่อไป.

อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

30 ข้อการใช้ชีวิต

1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้น
2. เมื่อมีคนเล่าว่า เขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตาม สบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเหมือนกัน
4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุข สนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถอะ
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "สอง" แต่อย่าให้ถึง "สาม"
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแ รกหรอก
13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก 14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน ...คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้" ก็ ตอบเขาไปเลยว่า "สบายมาก"
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับ หลุยส์ ปาสเตอร์, ไมเคิลแอนเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินซี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตราฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลียนแปลงโลกได้ ล้วนมาจาก บุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น (มิใช่สอดรู้สอดเห็น)
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

อ่านต่อ

ปัญหา

ปัจจุบันมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า เด็กไทยจำนวนมากขาดทักษะการแก้ปัญหาชีวิต อาทิ เด็กวัยรุ่นผิดหวังในความรักหรือเรื่องเรียนหาทางออกโดยการฆ่าตัวตาย โครงการ Child Watch โดยสถาบันรามจิตติ ได้สรุปสภาวการณ์เด็กไทยด้านต่าง ๆ ไว้ในช่วงปี 2548-2549 ด้านภาวะสุขภาพจิตของเด็กไทย พบว่า เยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปี พยายามฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 40 คนต่อแสนคน หรือคิดเป็นจำนวนเยาวชนที่พยายามฆ่าตัวตายปีละ 7,800 คน หรือเฉลี่ยวันละ 21 คน และที่ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละ 800 หรือเฉลี่ยวันละ 2 คน ซึ่งกรมสุขภาพจิตได้อธิบายสาเหตุการฆ่าตัวตายว่า เกิดจากอาการซึมเศร้าซึ่งมาจากความวิตกกังวล และไม่สามารถจัดการกับปัญหาตนเองได้
การวิจัยของนักจิตวิทยาพบว่า ทักษะการแก้ปัญหาของเด็กจะพัฒนาขึ้นตามอายุ โดยเด็กอายุ 3 ขวบ เริ่มมีพัฒนาการด้านนี้แล้ว ขึ้นกับว่าระหว่างที่เด็กเจริญเติบโตนั้น มีปัจจัยใดบ้างที่เข้ามาเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอาทิ เด็กมีความจำกัดในเรื่องของความมุ่งมั่นตั้งใจ ขาดความอดทนในการเอาชนะปัญหา และขาดความเข้าใจปัญหา ขณะที่สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาไม่ได้มีความเข้าใจ และมีวิธีการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาให้แก่เด็กอย่างถูกต้อง
ผมขอนำเสนอตัวอย่างหลักสูตรที่สอนทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีการสอนอย่างจริงจัง ในขณะที่ต่างประเทศมีหลักสูตรดังกล่าวแล้ว
ตัวอย่างโปรแกรมการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving Program: CPS) พัฒนาโดย Donald J. Treffinger, Scott G. Isaksen, & K. Brian Dorval ซึ่งเป็นกระบวนการในการคิดแก้ปัญหาโดยเริ่มจากการมีความเข้าใจในตัวปัญหา การคิดสร้างสรรค์เพื่อหาทางออกของปัญหาในมุมของความเป็นไปได้ และการวางแผนในภาคปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โปรแกรม ICPS (I Can Problem Solve) พัฒนาโดย Myma B. Shure, Ph.D. จาก Mental Health Services, DuPage County Health Department Wheaton, Illinois เป็นบทเรียนที่ใช้ปูพื้นฐาน และฝึกฝนทักษะในการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบให้กับผู้เรียน ซึ่งตัวอย่างหลักสูตรและโปรแกรมดังกล่าว มีลักษณะร่วมดังนี้
ฝึกการมองปัญหาอย่างถูกต้องโดยสอนผู้เรียนให้มองปัญหาอย่างสมจริง ไม่ใช่ตื่นตระหนกจนเกินไป ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็ไม่เพิกเฉยต่อปัญหา แต่ลงมือแก้ไขปัญหาจนสำเร็จ สอนให้ผู้เรียนเข้าใจว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเผชิญ และปัญหาสามารถช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา และสร้างผู้เรียนให้เป็นคนที่อดทนสามารถเอาชนะปัญหาได้
ฝึกทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นได้ เกิดจากการฝึกทักษะการคิดเป็นพื้นฐาน อาทิ ทักษะการคิดสร้างสรรค์ เพื่อช่วยในการขยายกรอบความคิด ไม่ยึดติดกับการปัญหาหรือวิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ และคิดหาวิธีการหรือแนวทางแก้ไขปัญหาแบบใหม่ ๆ ให้ผู้เรียนได้รู้ว่าในหนึ่งปัญหาสามารถหาทางออกได้มากกว่าหนึ่งทาง ทักษะการคิดเชิงตรรกะ การเชื่อมโยงเหตุและผล เพื่อนำมาเปรียบเทียบ หาผลกระทบ หาทางเลือกที่ดีที่สุดและเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหา ภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ โดยก่อให้เกิดผลกระทบทางลบให้น้อยที่สุดหรือไม่ให้เกิดขึ้นเลย
วิธีการใช้ชุดคำถามที่สามารถใช้ผ่านชีวิตประจำวัน อาทิ ชุดคำถามจำพวก “มีอะไรอีกไหม” “มีทางอื่นอีกไหม” เพื่อฝึกฝนความคิดสร้างสรรค์ ให้ผู้เรียนได้ขยายกรอบความคิดให้กว้างไกลกว่าเดิม ชุดคำถามจำพวก “ก่อน...หลัง” “ถ้า...แล้ว” “ขณะนี้...หลังจากนี้” “เหมือน...ต่าง” “ทำไม...เพราะ” เพื่อฝึกฝนการใช้เหตุและผล การกลั่นกรองเรียงลำดับความสำคัญของปัญหา และสามารถใช้การเล่นบทบาทสมมติ เล่านิทาน หรือภาพยนตร์ ละคร และข่าว เป็นกรณีศึกษาในการแก้ปัญหา โดยใช้คำถามง่าย ๆ เช่น หากเราเป็นบุคคลนั้น เราจะตอบสนองต่อปัญหานี้อย่างไร? ถ้าเจอปัญหาแบบคนที่อยู่ในข่าวจะหาทางออกให้กับตัวเองอย่างไร? เป็นต้น
ฝึกการเข้าใจผู้อื่น องค์ประกอบส่วนใหญ่ของปัญหา มักมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง การฝึกการคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น เป็นการฝึกการคิดอย่างรอบคอบว่า เราควรใช้การแก้ปัญหาแบบใดที่ไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง นอกจากนี้ เป็นการรู้ทันอารมณ์ความรู้สึก และนิสัยของตนว่า เป็นจุดอ่อนที่สร้างความขัดแย้งกับผู้อื่นได้ง่ายหรือไม่ เช่น เป็นคนใจร้อน โกรธง่าย จุกจิก ฯลฯ อาจใช้ชุดคำศัพท์หรือชุดคำถามจำพวก “ยุติธรรมหรือไม่” “หากเราทำเช่นนี้แล้ว...เขาจะรู้สึกอย่างไร” “หากเขาทำเช่นนั้นกับเรา...เราจะรู้สึกอย่างไร” เป็นต้นเพื่อฝึกให้ผู้เรียนคิดถึงความรู้สึกผู้อื่น
ที่สำคัญ ระหว่างฝึกทักษะภาคปฏิบัติ ครูจะไม่ตัดสินความคิดเห็นผู้เรียนว่าดีหรือไม่ดี แต่พยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดให้ลึกที่สุด โดยให้ความสำคัญในเรื่องการเชื่อมโยงเหตุและผล หากครูรีบตัดสินความคิดของผู้เรียนมาเกินไป ผู้เรียนจะสร้างกลไกการป้องกันตนเอง และไม่กล้าแสดงความคิด
ทักษะการแก้ปัญหา เป็นทักษะที่จำเป็นต้องสร้างในเด็กไทย เพื่อให้เด็กไทยมีความสามารถในการเผชิญปัญหา มิใช่เพิกเฉยต่อปัญหา หนีปัญหา หรือแก้ปัญหาด้วยวิธีการไม่เหมาะสม จนเกิดผลเสียต่อตนเองหรือส่วนรวมได้ ซึ่งจะส่งผลดีในอนาคตคือ ประเทศจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาให้กับประเทศ

อ่านต่อ